วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

สิ่งดีๆๆกับชีวิ


คุณเคยถามตัวเองหรือไม่ ว่าสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณคืออะไร คำตอบสำหรับคำถามนี้ในแต่ละคนต่างกัน เช่น สิ่งที่ดีที่สุดคือการได้พบกับคนที่เรารักมากที่สุด มีลูกที่ดี มีเพื่อนที่ดีที่สุด ได้งานทำที่ดี ได้เลื่อนตำแหน่ง มีกิจการเป็นของตัวเอง ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่หนึ่ง ได้ไปต่างประเทศ และยังมีเรื่องราวที่เป็นที่สุดอีกมากมายแต่มีใครเคยคิดบ้างว่า การที่คนเราได้เกิดมาในโลกใบนี้นี่แหละถึอว่าเป็นเรื่องราวที่ดีสุดแล้ว ความมหัศจรรย์ของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเราลืมตาขึ้นมาดูโลก ถึงแม้บางคนจะบอกว่าเราเกิดมาใช้กรรม แต่นอกจากใช้กรรมแล้ว เรายังสามารถสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้อีกมากมาย ได้ค้นพบประสบการณ์ใหม่ ๆ เก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ ให้กับตนเอง และคนรอบข้างไม่จบไม่สิ้น ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีอีกเช่นกัน คิดดูสิ การที่เราได้เกิดมาบนโลกใบนี้ เราไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เราเกิดมาตัวเปล่า ดังนั้นชีวิตหลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา ขอให้ถือว่ามันคือกำไรชีวิต ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่เราได้พบจะทำให้เรา ร้องไห้ ผิดหวังแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ทำให้เราเข้มแข็ง และกล้าที่จะยอมรับความจริง นั่นคือบททดสอบ มันทำให้ความเป็นคนของเราสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทุกอย่างถือเป็นกำไรทั้งสิ้น ไม่มีคำว่าขาดทุน สอบตกก็กำไร ทำให้เราพยายามมากขึ้น ถูกคุณครูว่า ก็กำไร ทำให้เรามีความตั้งใจมากขึ้น ตกงานก็กำไร ทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น ผิดหวังจากความรักก็กำไร ทำให้เรารู้คุณค่าขอ งความรักมากขึ้น รู้หรือไม่ว่า ชีวิตให้ของขวัญอะไรกับเรา ทุกคนได้รับของขวัญโดยเท่าเทียมกัน ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว วันพรุ่งนี้ไงล่ะ วันใหม่ การเริ่มต้นใหม่ ทุกคนเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ได้ทุกวัน ทุกครั้งที่เหนื่อย ท้อใจ ผิดหวัง เมื่อดวงตะวันทอแสงในยามเช้า เราจะพบกำไรอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ ความหวัง เมื่อวันใหม่เริ่มต้น ความหวังก็จะยังอยู่กับเรา ไม่มีวันหยุด จนกว่าจะหมดลมหายใจ โปรดอย่ากำหนดชีวิตตัวเองด้วยการจากโลกนี้ไป อย่าตัดสินใจอย่างนั้น คุณกำลังทิ้งของขวัญที่ดีที่สุดของคุณ ทิ้งความหวัง ทิ้งกำไรชีวิต ถ้าคุณทำแบบนั้น คุณจะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ในเมื่อเราเกิดมาแล้วขอให้อยู่จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิตเถิด จนกว่าคุณจะหมดแรงสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับชีวิต มันน่าเสียดายมากนะ ถ้าคุณไม่ได้เห็นวันพรุ่งนี้ของคุณ ไม่ได้รับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิต ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในด้านบวก หรือลบ ขอให้เรียนรู้ที่จะก้าวผ่านไปให้ได้ และเมื่อคุณมองย้อนกลับไปในอดีตที่ได้ฝ่าฟัน หรืออดทนกับมันมา คุณจะพบว่าคุณช่างเป็นบุคคลที่กล้าหาญเหลือเกิน ความภาคภูมิใจในตัวเองจะบังเกิดขึ้นกับคุณ คุณจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น และยืน หยัดได้อย่างมั่นคง คุณจะบอกกับตัวเองว่าอุปสรรคที่ผ่านมามันช่างเล็กน้อยเหลือเกิน ไม่มีอะไรจะเกินความสามารถของคนเราไปได้เลย ถ้าคุณยังมีความหวัง และคิดเสมอว่าทุกย่างก้าวของชีวิต ทุกลมหายใจที่มีอยู่ ทุกอย่างคือกำไรขอให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่อยู่เสมอ เพราะคุณคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้ และไม่มีวันที่คุณจะขาดทุนจากการดำเนินชีวิต

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

50 ข้อคิด มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต


1. เมื่อเด็กกำลังเติบโตเป็นวัยรุ่น มีความต้องการเป็นตัวของตัวเองสูง ผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจและใจแคบมักจะมองว่าเด็กดื้อ
2. คนเราจิตตกได้เป็นครั้งคราว อาจทำอะไรที่ไม่เหมาะสมได้ การรู้ตัวเองและให้อภัยตัวเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ
3. คนอกหักไม่อาจตัดความโศกเศร้าได้ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเยียวยาความรู้สึกดังกล่าว
4. ให้เคารพแนวคิดของผู้อื่นบ้าง เสมือนหนึ่งเป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่ต่างไปจากเราเท่านั้นเอง
5. ตนเองเสียเมื่อไหร่ที่คิดดี คิดชอบเป็นอยู่คนเดียว
6. ทำไปเพราะไม่รู้ ให้อภัยกันได้ รู้แล้วยังทำ คือ ความดื้อ
7. ก่อนที่จะว่ากล่าวถึงนิสัยไม่ดีของลูกนั้น ให้มองตัวพ่อแม่เองก่อนด้วยว่า เรามีส่วนผลักดันให้เขาเป็นเช่นนั้นด้วยหรือเปล่า
8. ความทุกข์ของมนุษย์ 100% เกิดจากการพยายามฝืนความจริงของธรรมชาติ
9. หากต้องอยู่กับคนที่ไม่เกรงใจกันเลย พูดกับเขาให้น้อยลง เล่นกับเขาให้น้อยลง
10. หากอยากได้อะไร ก็ควรเสียอะไรบ้าง
11. ถ้าเราปล่อยให้โลก เร่งตัวเรา ควบคุมตัวเรา จนเราขาดอิสระภาพ เราก็จะทุกข์ ถ้าเราจะเร่งโลก ควบคุมโลกให้โลกนี้เป็นไปตามความต้องการของเรา เราก็ทุกข์เช่นกัน
12. ความฉลาดอาจหลอกคนได้ ความจริงใจต่างหากที่จะชนะใจคน
13. การให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากไป ทำให้เราลืมธรรมชาติ ลืมความเป็นจริงได้ง่าย
14. อารมณ์เป็นตัวกำหนดความคิด ความคิดกำหนดพฤติกรรม หากจะเข้าใจพฤติกรรมของคนให้ถูกต้อง จึงต้องอ่านอารมณ์ให้ออก
15. การมองอะไร ว่าดี ว่าเลว ขึ้นกับว่าอารมณ์ของเราขณะนั้นเป็นอย่างไร
16. ทำอะไรก็แล้วแต่ ควรมีหลักการบ้าง แต่ต้องระวังอย่ายึดเป็นกฎเกินไป
17. อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดเป็นคำพื้น ๆ ที่ใช้มาเตือนสติเราได้ดีตลอดกาล
18. การพยายามทำอะไรทุกอย่างให้ได้ การสงสัยอะไรทุกเรื่องเป็นความโง่ได้ก็เพราะว่าเรื่องต่าง ๆ ในโลกนี้มีตั้งหลายเรื่องที่ใช่ว่าเราจะรู้มันได้ง่ายและเรื่องอีกหลายเรื่องก็ไม่จำเป็นที่ต้องตอบให้ได้ด้วย
19. คุณธรรมส่อคุณค่าของมนุษย์มากกว่าความฉลาด
20. อะไรก็ตามแต่แม้ว่ามันจะจริง จะถูกต้อง แต่ถ้าการพูดออกไปนั้น มันไม่มีประโยชน์มีแต่ผลเสีย อย่าพูดดีกว่า
21. การขาดความเกรงใจต่อกัน ทำให้เราทะเลาะกันได้ง่าย การมีความเกรงใจต่อกันที่มากเกินไป ก็ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง
22. ใครที่เขากล้าพูดความจริงกับเราออกมา นั่นก็เพราะเขามีความเชื่อมั่นว่าเราจะยอมรับเขาได้
23. การฝึกวินัยให้กับลูกนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นการฝึกวินัยให้กับพ่อแม่ด้วย
24. หากลูกเป็นคนเฉื่อยชา เราคงต้องช่วยกระตุ้นให้กำลังใจ หากลูกเป็นคนเอาจริงเอาจังเกินไป เราคงต้องช่วยสอนให้ลูกได้ปล่อยวางบ้าง กฎเกณฑ์การเลี้ยงลูกของคนๆ หนึ่ง จึงไม่เหมือนของอีกคนๆหนึ่ง
25. เมื่อคิดจะเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ ที่มองว่าดี ต้องมองถึงความเป็นจริง ความเป็นไปได้ด้วยเสมอ
26. แต่ละคนมีศักยภาพของตัวเองอยู่แล้ว เราจึงควรต้องให้เกียรติต่อกันบ้าง
27. เมื่อเป็นคนก้าวร้าวคนอื่นไม่เป็น ก็มักจะถูกคนอื่นรุกรานได้ง่ายเช่นกัน
28. ถ้าเราเชื่อเรื่องกรรม การตายก็ไม่ใช่วิธีการหนีปัญหาได้ตลอดไป เนื่องจากกรรมนั้น ๆ ยังไม่ได้ชดใช้ จนหมดวาระในตัวของมันเอง เกิดชาติหน้า กรรมเก่าก็จะติดตัวต่อไปอยู่ดี
29. การมองปัญหาในแง่มุมต่างกัน ในจุดต่างกันจะทำให้เข้าใจปัญหาได้ต่างกัน
30. เราจะให้อภัยตัวเอง กับผู้อื่นได้นั้น เราต้องเข้าใจในตัวเองและผู้อื่นได้ก่อน
31. การแก้ปัญหาทางบุคลิกภาพต้องอาศัยทั้งความจริงใจและการอดทนเป็นอย่างยิ่ง
32. ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นเรื่องที่ดี แต่….ปัจจัยแห่งความสำเร็จนั้นก็หาได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียวไม่
33. เวลาที่พ่อแม่จะสะกิดฝีหนองให้ลูกนั้น พ่อแม่เองก็เจ็บปวดไม่น้อย
34. บางครั้งเราต้องการให้คนอื่นมาเข้าใจเรา มากกว่าที่เราอยากจะเข้าใจตัวเอง นั่นก็เพราะว่า เรายังเป็นมนุษย์ที่ยังมีความอ่อนแออยู่บ้าง
35. เรื่องที่คนเราประทับใจ มักจะลืมเลือนได้ยาก ก็เนื่องจากความประทับใจ ไม่ใช่ความจำนั่นเอง
36. จะมีเราอยู่……………………. เขาก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีเราอยู่….……………….. เขาก็เป็นอย่างนั้น
37. หากเขาคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จริงๆแล้ว เราเป็นได้แค่เพียงตัวกระตุ้นเท่านั้น
38. ถ้าเราเรียนรู้ธรรมะด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว เราจะสัมผัส " การรู้ " ได้ยากยิ่ง
39. ความสับสนในชีวิดมันเกิด ควรหาที่ยึดเหนี่ยวให้จิตใจได้พักเสียบ้าง
40. เรื่องของชีวิต มันมีจังหวะที่ต้องรอคอยอยู่บ้าง จะเรียกร้องให้มันได้ดั่งใจเสมอไปได้อย่างไร ความจริงใจ หากถูกแปลเป็นแง่ลบแล้ว ใครยังอยากจะกล้าจริงใจให้อีก
41. เพราะความอยาก…….มันถึงได้วุ่นวายกันเพียงนี้
42. ไม่ใช่ว่า ห้ามโกรธ แต่ให้รู้ว่าโกรธ ไม่ใช่แสดงความโกรธแต่ให้พูดออกมาว่าโกรธ
43. จิตและอารมณ์เป็นของแท้ ความคิด คือ ตัวปรุง
44. หากเชื่อว่า "การบ่น จะทำให้ลูกนิสัยดีขึ้นก็น่าจะลองดู ในเมื่อความเป็นจริงนั้น " การบ่น " มักจะยิ่งทำให้ลูกแย่ลงมากกว่าเดิมเสียอีก
45. ใครเขาจะเป็นอย่างไรก็ช่าง มันอยู่ที่………เรารู้สึกอย่างไรด้วยต่างหาก
46. หากพ่อแม่คาดหวัง อยากจะให้ลูกเป็นคนดีนั้น พ่อแม่ต้องช่วยให้ลูกเป็นคนดีด้วย ( อย่าเพียงแต่หวัง ) 47. พ่อแม่ หากมีความรักลูกมากไปแล้ว ก็ยากที่จะสอนวินัยให้กับลูกได้ดี
48. การเข้าใจคนอื่นได้ เป็นเรื่องที่ดี การเข้าใจตนเองได้ยิ่งเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่แย่ และก่อให้เกิดทุกข์ได้มากก็ คือรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเราเลย
49. กังวล เกินกว่าเหตุ… เชื่อมั่น มากเกินไป… ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องรู้จักตนเองอยู่เสมอ
50. การเร่งแก้ปัญหา โดยรีบคิดให้ตกทันที จะยิ่งสร้างปัญหาทางอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้น

การหัวเราะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราได้ 2 ทาง คือ ทางแรก เพิ่มระดับความเข้มข้นของแอนตี้บอดี้ที่เป็นภูมิคุ้มกันหมุนเวียนอยู่ในกระแสเลือด ส่วนทางที่สอง เป็นการเพิ่มระดับเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นตัวกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้ามาในร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทั้ง 2 แบบนี้ จะช่วยทำให้เรามีภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ มากขึ้นนั่นเอง
ในอเมริกา แคนาดา อังกฤษ อินเดีย และอีกหลายๆ ประเทศ การรักษาผู้ป่วยด้วยการหัวเราะกำลังเข้ามาแทนที่การบำบัดด้วยการใช้ยาคลายเครียด และยาแก้ปวด เพราะอารมณ์ขันให้ผลเช่นเดียวกับการออกกำลังกาย เป็นการเพิ่มระดับฮอร์โมนฝ่ายดี เช่น ฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน (endorphin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยระงับความเจ็บปวด และ neurotransmitter เช่น ฮอร์โมนเซโรโทนิน (serotonin) เป็นฮอร์โมนที่ทำให้เราอารมณ์ดี ขณะเดียวกันก็ทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียด cortisol และ stimulant ลดลง
นักวิจัยจากแสตนฟอร์ดพบเช่นเดียวกันว่า หัวเราะเพียง 10 วินาที มีค่าเท่ากับการออกกำลังกายบนเครื่องกรรเชียงถึง 3 นาที เพราะการหัวเราะทำให้หัวใจ และชีพจรเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย เมื่อหยุดหัวเราะร่างกายจะค่อยๆ เข้าสู่ภาวะปกติ จึงรู้สึกผ่อนคลาย ดังนั้นคนเราน่าจะสนุกกับชีวิตให้มากกว่านี้ อย่าเครียดหรือจริงจังกับชีวิตจนเกินไป ปล่อยวางเสียบ้าง เพิ่มอารมณ์ขันให้กับตัวเองอีกวันละนิดพิชิตความเครียดได้วันละหน่อย ปกติอาจเป็นคนที่ไม่เคยอ่านการ์ตูน เรื่องขำขัน หรือสนใจทอล์กโชว์ ก็ลองหามาอ่านมาดูบ้าง ไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างที่คิด บางครั้งคนเราก็ควรเติมสิ่งที่ขาดหายไปในตัวเองเพิ่มเข้าไป
การทำตัวเป็นเด็กบ้างก็จะรู้สึกสนุกกับชีวิตมากขึ้น ไม่เชื่อคุณลองสังเกตดูคนขี้เล่นมักจะเป็นคนมีเสน่ห์ที่ใครๆ หลงใหลชอบพูดคุยด้วยเสมอ คนที่หัวเราะเก่งๆ จะมีความคิดสร้างสรรค์ดีกว่าคนช่างเครียด และคนส่วนใหญ่ที่มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็มักจะเป็นคนที่มีอารมณ์ขันด้วยเช่นกัน….แล้วคุณเป็นแบบไหนล่ะครับ?

หนังสือ2

5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบวิธีอ่านหนังสือ แบบว่าอยากสอบผ่าน....

1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้

** แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนชอบแชตนะค่ะ อิอิ

2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)

3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง

4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้

5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)

เป็นยังไงบ้างคะ กับวิธีอ่านหนังสือที่เน้นการจับกลุ่มซะหน่อยนึง แต่ลองทำดูสิ อาจจะได้ผลนะ ที่มา
aommee และขอขอบคุณ BBug

หนังสือ



เคร็ดลับวิชา

1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ

2. นั่งสมาธิสัก 5 นาที

3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ

4. เช็คคำตอบ

5. อ่านอีกหนึ่งรอบ

6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน

7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น

8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ

9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ

10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

การสร้างบล๊อก
1. ในส่วน ที่อยู่เว็บไซต์ ให้ใส่ส่วนท้ายสุดของที่อยู่เว็บที่คุณต้องการใช้สำหรับบล็อกของคุณ2. ในส่วน การเลือกแม่แบบ ให้คลิกแท็บ การทำงานร่วมกัน แล้วคลิก บล็อก3. ในส่วน สิทธิ์ ให้เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้§ ถ้าคุณต้องการใช้สิทธิ์และกลุ่มเดียวกันกับไซต์แม่ ให้คลิก ใช้สิทธิ์เดียวกันกับไซต์แม่ิ์§ ถ้าคุณต้องการตั้งค่าสิทธิ์เฉพาะสำหรับบล็อก ให้คลิก ใช้สิทธิ์เฉพาะถ้าคุณเลือกใช้สิทธิ์เฉพาะ คุณจะมีโอกาสตั้งค่าสิทธิ์ได้หลังจากที่คุณเสร็จสิ้นการป้อนข้อมูลการตั้งค่าให้กับเพจปัจจุบัน4. เมื่อต้องการแสดงแถบการเชื่อมโยงบนสุดจากไซต์แม่บนเพจในบล็อกของคุณ ให้คลิก ใช่ ในส่วน การสืบทอดการนำทาง5. คลิก สร้าง6. ถ้าเพจ 'ตั้งกลุ่มขึ้นสำหรับไซต์นี้' ปรากฏขึ้น ให้ตั้งค่าผู้เยี่ยมชม สมาชิก และเจ้าของไซต์เคล็ดลับ ดูการเชื่อมโยงไปยังข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิ์และการเข้าถึงเนื้อหาในส่วน ดูเพิ่มเติม7. คลิก ตกลง
ตั้งค่าประเภทถ้าคุณวางแผนที่จะสร้างการติดประกาศบล็อกจำนวนมาก หรือการติดประกาศเกี่ยวกับหลายๆ เรื่อง คุณก็ควรตั้งค่าประเภท ผู้อ่านของคุณสามารถคลิก

เทคโนโลยีการศึกษา


เทคโนโลยีการศึกษา เทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา10.1.1 ความหมายของเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา ดังกล่าวแล้วว่า เทคโนโลยีการศึกษา เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสิ่งประดิษฐ์ หรือใช้ ร่วมกับกระบวนการทางจิตวิทยา และอื่น ๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เทคโนโลยีมิได้หมายความว่าจะมีประสิทธิภาพคงที่เสมอไป ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีใด ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเปลี่ยนแปลงสถานที่ เปลี่ยนแปลงเวลา เปลี่ยนบุคคลที่ใช้และบุคคลที่ถูกนำไปใช้ เปลี่ยนแปลงสถานที่แวดล้อม ก็อาจจะทำให้ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ ในกรณีที่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น เทคโนโลยีนั้นก็จะยังคงใช้ต่อไป แต่เมื่อประสิทธิภาพลดลง เทคโนโลยีนั้น ๆ จึงต้องมีการปรับปรุงจุดบกพร่องบางส่วน หรือนำเอาวิธีการใหม่ ๆ มาใช้ ซึ่งวิธีการที่ได้รับการปรับปรุงใหม่หรือวิธีการใหม่ที่นำมาใช้เรียกว่า นวัตกรรม (Innovation) ทอมัส ฮิวซ์ (อ้างในบุญเกื้อ ควรหาเวช, 2542:13) ให้ความหมายของคำว่า นวัตกรรมว่า "เป็นการนำวิธีการใหม่ ๆ มาปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลองหรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้น ๆ แล้ว โดยเริ่มมาตั้งแต่การคิดค้น (Invention) การพัฒนา (Development) ซึ่งอาจจะเป็นรูปของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project) แล้วจึงนำมาปฏิบัติจริง ซึ่งมีความแตกต่างไปจากการปฏิบัติเดิมที่เคยปฏิบัติมา" มอตัน (อ้างในบุญเกื้อ ควรหาเวช, 2542:13) กล่าวว่า "นวัตกรรม หมายถึง การทำให้ใหม่ขึ้นอีกครั้ง (Renewal) ซึ่งหมายถึงการปรับปรุงของเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรตลอดจนหน่วยงานหรือองค์การนั้น ๆ นวัตกรรมไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้างสิ่งเก่าให้หมดไป แต่เป็นการปรับปรุงแต่งและพัฒนาเพื่อความอยู่รอดของระบบ" ไชยยศ เรืองสุวรรณ (อ้างในบุญเกื้อ ควรหาเวช, 2542:13) กล่าวว่า "นวัตกรรม หมายถึงวิธีการปฏิบัติใหม่ ๆ ที่แปลกไปจากเดิม โดยอาจจะได้มาจากการคิดค้นพบวิธีการใหม่ ๆ ขึ้นมาหรือมีการปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสมและสิ่งทั้งหลายปลายทางอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น" ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้โดยสรุปว่า "นวัตกรรม เป็นการปรับปรุงดัดแปลงวิธีการเดิม หรือนำเอาวิธีการใหม่มาใช้ในกระบวนการดำเนินงานใดๆ แล้วทำให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิม" 10.1.2 เกณฑ์ในการพิจารณานวัตกรรม เพื่อที่จะสามารถแยกแยะได้ว่าวิธีการที่นำมาใช้ในกระบวนการใด ๆ นั้น จะเรียกว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรม ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2526:37 ได้กล่าวถึง) เกณฑ์ของนวัตกรรมไว้ว่าประกอบด้วยลักษณะ 4 ประการคือ 1) เป็นวิธีการใหม่ทั้งหมดหรือเกิดจากการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการเดิม 2) มีการนำเอาระบบ (System) พิจารณาองค์ประกอบของกระบวนการดำเนินการ นั้น ๆ 3) มีการวิจัย หรืออยู่ระหว่างการวิจัยว่า ทำให้กระบวนการดำเนินงานนั้น ๆ มี ประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าเดิม 4) ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งของระบบในปัจจุบัน กล่าวคือหากวิธีการนั้น ๆ ได้รับการนำเอา ไปใช้อย่างกว้างขวางโดยทั่วไปแล้ว และวิธีการนั้นมีประสิทธิภาพก็จะถือว่าวิธีการนั้น ๆ นับเป็นเทคโนโลยี 10.1.3 ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีและนวัตกรรม จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน